Wednesday, November 27, 2013

Training Certified Wireless Design Professional(CWDP)

Training Certified Wireless Design Professional(CWDP) 19-21 Nov 2013
3 days  Globeron ที่ The Swiss Lodge,3 Convent Road, Silom,Bangrak, Bangkok 10500 Thailand



Thursday, August 22, 2013

ทดสอบ Roaming Access Point

ทดสอบ การ Roaming L2  HiveAP120(ต่อ Mesh) และ HiveAP 121(wire)
access point ทั้งคู่ ปล่อย power 5 dbm
ใช้อุปกรณ์  Ipad เกาะ HiveAP121 จากนั้น เดินออกจาก HiveAP121 แล้วเอา ipad ไปวางใกล้ HiveAP120 ,Monitor จาก HiveManager  ได้ผลตาม log ข้างล่าง และจาก หน้า console จะเห็น ipad ย้ายไปเกาะ HiveAP120 เรียบร้อย และระหว่างการเดินออกจาก HiveAP121 ได้ทำการ ping    ไปที่เครื่อง ipadด้วย ไม่มีหลุดเลย
08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBD4  AP-121       BASIC   (64)Tx probe resp (pwr 5dBm)

08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBD5  AP-121       DETAIL  (65)Rx probe req (rssi 46dB)

08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBE9  AP-121       INFO    (66)Rx assoc req (rssi 37dB)

08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBE9  AP-121       BASIC   (67)Sta(at if=wifi1.2) is de-authenticated because of STA roam away

08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBE9  AP-121       INFO    (68)roam away

08/22/2013 12:41:54 PM AM  7011242FD8FE  4018B11CEBE9  AP-121       BASIC   (69)Sta(at if=wifi1.2) is de-authenticated because of notification of driver

08/22/2013 12:41:54 PM  7011242FD8FE  0019771340E9  AP-120       DETAIL  (0)Rx probe req (rssi 36dB)


08/22/2013 12:41:54 PM  7011242FD8FE  0019771340EC  AP-120       DETAIL  (1)Rx probe req (rssi 36dB)

08/22/2013 12:41:54 PM  7011242FD8FE  0019771340E9  AP-120       DETAIL  (2)Rx probe req (rssi 35dB)

08/22/2013 12:41:54 PM  7011242FD8FE  0019771340EC  AP-120       DETAIL  (3)Rx probe req (rssi 35dB)

Tuesday, July 23, 2013

สัญญาณ 3G กับ H+ ต่างกันอย่างไร

สัญญาณ 3G กับ H+ ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของ 3G,H,H+,E และ G ที่ขึ้นสัญลักษณ์บนมือถือหรือแท็บเล็ต

3G,H,H+,G และ E เป็นสัญลักษณ์ของการรับส่งข้อมูลบนเคลือข่ายโทรศัพท์แต่ละสัญลักษณ์ก็จะมีความเร็วสูงสุดที่ต่างกัน (ขอ ใช้คำว่าความเร็วสูงสุด เพราะสัญลักษณ์ต่างกันจริงแต่ความเร็วอาจไม่ต่างกันขึ้นอยู่กับสัญญาณ โทรศัพท์ของแต่ละพื้นที่ด้วยและอาจมีปัจจัยของผู้ให้บริการด้วย)


“G” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ GPRS ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 48 Kbps

“E” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ EDGEความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 236 Kbps

“3G” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ได้แล้วแต่รองรับความเร็วสูงสุดในดาวน์โหลดอยู่ที่ 384 kbps เท่านั้น

“H” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA “High Speed packet access” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 7.2 Mbps, 10.2 Mbps, 14.4 Mbps สูงสุด ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร

“H+” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA+ “High Speed packet access Plus” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 21 Mbps และสูงสุดที่ 42 Mbps ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร

สรุป H+ เร็วที่สุด G ช้าสุด


และได้ความรู้ใหม่เพิ่มมาว่า โดยปกติถ้าเราจะปรับตั้งค่าเครื่องให้จับ 3G ได้นั้นต้องปรับตั้งค่าไว้ที่ GSM/WCDMA ซึ่งเจ้าตัวนี้มันเป็นตัวที่ทำให้สัญญาณไม่นิ่ง เราเลยเห็น 3G กับ H สลับกันไปมาในบางครั้ง

กรณีที่เราต้องการให้ทำให้เป็น 3G ตลอด (มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทาง) แต่ด้วยตัว Hardware มันมีโหมดอยู่แค่ 2 โหมด คือ 2G - GSM และ 3G - WCDMA

ซึ่งถ้าลองดูใน Setting ของเครื่องในมือถือส่วนการใช้งาน data > network จะมีให้เลือก และปกติจะอยู่ที่โหมด GSM/WCDMA (แบบออโต) คือ เพื่อให้เครื่องทำการจับและเลือกสัญญาณที่ดีที่สุดของพื้นที่นั้นๆ (อาจจับได้ 3G หรือไม่ได้ก็ลงมาที่ E > G ทำนองนี้)

หากต้องการใช้ 3G เป๊ะๆ เลย อย่างเดียวเลย ก็ปรับไปเป็น WCDMA   แต่ก็มีหลายคนบอกว่า จะเสถียรกว่าการใช้แบบ auto mode
แต่ หากจะให้เครื่องมันขึ้น H / 3.5G หรือ H+ / 3.9G หรือ 3G อย่างเดียวนั้น ขึ้นอยู่ที่ตัว hardware ของเครื่องอย่างเดียว... เช่น ถ้าใช้ Samsung Wave ... ต่อให้ใช้ 3G ยังไง มันก็ 3G เพราะ hardware มันมีได้แค่นี้ ... ส่วน Galaxy Tab นั้นจะมีสลับกันบ้าง ระหว่าง H และ 3G ... ซึ่งปกติ ตอนนี้เครื่องใหม่ๆ ที่มา มันไปถึง H+ เลยทีเดียว

ที่มา http://nakhonsiit.blogspot.com/2013/01/3g-h.html

Monday, June 10, 2013

Trip ฮ่องกงอีกครั้ง

เดินทางไปฮ่องกงอีกครั้ง คราวนี้ไป Train product Aerohive กับ หัวหน้า 2 คน เดินทางไปวันที่ 4-5 June 2013 เครื่องออก 10 โมงเช้า โดยสายการบิน Thaiairway ไปถึงสุวรรณภูมิ 8 โมงเนื่องจากต้องเผื่อเวลาสำหรับตรวจกระเป๋า,ตรวจpassport จากนั้นนั่งรอเครื่องออกประมาณ 10.45 ใน Lounge ของการบินไทย(หัวหน้าได้ gold การบินไทย)

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงสนามบินฮ่องกง ถึงด่านต.ม. ต้องยืนเข้าแถว หัวหน้าไปเข้าช่องพิเศษแล้วแถมบอกเจอกันข้างในด้วย เอาซิตู ถ้าเขาถามทำไงเนี่ย ข้างหน้ามีฝรั่งกับแขก 2 คน คนแรกฝรั่งเจอเจ้าหน้าที่ถามซะแล้ว แล้วก็มีการพาตัวไปไหนไม่รู้ คนที่สอง แขกโดนเหมือนกัน ถึงเราแล้วท่องในใจอย่าถามนะเว้ย โดนจนได้เจ้าหน้าที่จีนถามอะไรไม่รู้ ไอ้เราก็ speak english ว่ามากับ boss boos อยู่โน่น เอานิ้วชี้ไปพร้อมบอก there ... เศร้าเหมือนจะฟังไม่ออก สุดท้ายเราบอกไป again please ...สรุปเขาถามว่ามากี่วัน บอกเสียงดังฟังชัดว่า 2 day .... รอดตัวเฮ้อ ทำไมไม่ตั้งใจเรียน eng ตอนเด็กว้า หลุดออกมาได้ขึ้นรถ bus ไปโรงแรมถ่ายรูปเรื่อยมาฮ่องกงเป็นเมืองที่มีน้ำไหลผ่านเนื่องจากเป็นเกาะ มีท่าเรือ เรือขนสินค้ามากมาย
ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปเรื่อย TAXI ที่เห็นส่วนมากเป็นสีแดง เกียร์มืออีกด้วย สาวๆก็งั้นๆสู้ไทยไม่ได้ แต่ได้เปรียบที่ขาวนี่แหละอันนี้ต้องยกให้ เดินทางไปพักที่ novotel hongkong ห้องพักสวยดีพักที่ชั้น 7
 วิวหลังห้องเป็นตึกสูง ส่วนในห้องก็ดูสวยดี แต่มีปัญหาเกี่ยวกับปลั๊กไฟนิดหน่อยเนื่องจากหัวคนละแบบกับเมืองไทย
ออกมาเดินเที่ยวข้างนอก ฝนดันตกลงมาได้ เฮ้อ เดินไปกินร้านอาหารข้างทาง เมนูเป็นจีน พอนั่งปั้มก็มีมาเสริฟถ้วย 1 ใบพร้อมตะเกียบ น้ำแข็งไม่มี น้ำไม่มีต้องสั่ง แต่แปลกที่นี่ส่วนมากเขากินเป็นกระป๋องน้ำอัดลม จัดการสั่งตามรูป มีกัีกทอดด้วยแต่ลืมถ่ายหมดก่อนซากอยู่บนโต๊ะ ที่นี่แปลกอยู่อย่างเขาไม่มีจานใส่ก้างให้นะ เห็นทิ้งลงบนโต๊ะกันอ่ะ



กินเรียบไอ้ปูทอดทีแรกคิดว่าปูนิ่มที่ไหนได้มาเป็นกระดองแข็งเลย ดีนะฟันกรามยังดีอยู่ก็กินมันทั้งเปลือกทั้งกระดองเลย กรุบๆดีเหมือนกินขนมกรอบๆ ส่วนผักต้มก็กินแก้เลี่ยนได้ ถ้ามีน้ำปลาพริกซักถ้วยคงดี ค่าอาหารราวๆ พันกว่า อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวราตรี ร้านปิดกันดึกมาก เจอลุงแก่ๆเต้นฮามาก hiphop มาเองเลย

ฝนยังตกปอยๆแวะซื้อเบียร์ขั้นโรงแรม รสชาดสู้ Leo ไม่ได้ ตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟเพื่อไปสถานที่อบรม ตึก manhattan ช่วงเช้ารถยังว่าง อ้อลืมไปเวลาที่ฮ่องกงเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง หลังจากลงจากสถานีแล้วก็ใช้ google map หาเส้นทางไปยังที่อบรม ก่อนหน้านี้เดินอ้อมกันไปไกลเลย


อบรบที่บริษัท Data world ภายใน office สวยดีโดยเฉพาะห้องอาหาร มีเครื่องหยอดน้ำด้วยมื้อเที่ยงเขาสั่งอาหารกล่องมาเลี้ยงมีเมนูมาให้เลือกภาษาจีนมีกำกับนิดหน่อยว่าเป็น Pork , chicken, fish สั่งตามที่มีคนสั่งเยอะๆ..... ไม่หร่อยเลย อยากได้น้ำปลา



ตกเย็นมีคนแนะนำว่ามีร้านอาหารซึ่งทำอาหารเผ็ดอยู่ จึงไปลองกัน ดูเมนูติดข้างฝาสีแดงน่าจะเผ็ดพอสั่งไปดันไม่มี เลยต้องดูเมนู เมนูก็อย่างที่เป็น ใครจะไปอ่านออกเนี่ย พอดีที่เต็มเลยนั่งจอยกับหนุ่มสาวฮ่องกง เลยถามเขาว่าไอ้ที่กินอยู่คืออันไหนในรูปเพราะเห็นสีซีดเหลือเกินจะได้ไม่สั่งตาม สุดท้ายได้ก๋วยเตี๋ยวมาบอกพนักงานเอาเผ็ดๆ มีระดับพริกบอก เขาพยามยามจะบอกว่าเผ็ดมั้ง อะไร ล่า ล่า นี้แหละ เราบอกว่าคนไทย กินได้เอามาเหอะจะกิน และแล้วก็ยกมา ม่าม่าต้มยำกุ้งสียังแจ่มกว่าอีก รสชาดยังไม่เผ็ด แต่มันร้อนๆเหมือนพริกไท น้ำร้อนดี ลิ้นชาด้วยเหมือนโดนอะไรไม่รู้ ไม่รู้ใส่อะไรลงไป แต่ชามใหญ่มาก สั่งปีกไก่มา อร่อยดี ตามด้วยน้ำ สั่ง Coke มะนาวไป เราคิดว่าจะเหมือนชามะนาว เขาเสริฟ coke กระป๋องแล้วก็หั่นมะนสวใส่แก้วพร้อมน้ำแข็ง ก็แปลกไปอีกอย่าง

เครื่องปรุงเขาไม่เหมือนบ้านเรา เหมือนว่าทำอร่อยแล้วไม่ต้องปรุง ตรงหน้าโรงแรมมีอัษรไทยเขียนอยู่ไม่รู้ว่าร้านคนไทยหรือป่าว



ตื่นเช้าอีกวันหอบกระเป๋าไปที่อบรมด้วยจะได้ไปสนามบินเลย สังเกตทางเดิาเท้าเขาจะทำทางลาด ง่ายต่อการลากกระเป๋าเวลาข้ามฟุตบาท(ทำไมเมืองไทยไม่ทำมั่ง) แอบถ่ายนักเรียนบนรถไฟ นักเรียนที่นี่ชุดเหมือนกันสีขาวต่างกันตรงตราโรงเรียน หน้าตา อาหมวยมาเลย มื้อเช้าฝากท้องกับ macdonald แล้วมื้อเที่ยงก็อะไรอีกไม่รู้ ดันไปเลือกที่ต่างจากชาวบ้านคราวนี้เหมือนยากิโซบะเลย



l7.00 ได้เวลาออกเดินทาง นั้ง Taxi ไปสนามบินระหว่างทางเก็บรูปไปเรื่อยๆ มาที่นี่ยังไม่เห็นสายไฟพาดกลางถนนเลย เขาซ่อนใต้ดินหมด(ทำไมเมืองไทยไม่ทำมั่ง นกจะได้ไม่ต้องมาขี้ใส่ด้วย)



ถึงสนามบินฮ่องกงค่า Taxi 200$ ตอนผ่าน ต.ม. พี่เขาใช้บัตร APEC ยื่นในช่องนักธุรกิจเลยไม่ต้องเข้าแถวนาน มันดรอย่างนี้นี่เอง นั่งรอใน Lounge ของการบินไทย กินอาหารไปพลาง เหลือบเห็นหลายโต๊ะมีขวดเขียวๆวางอยู่ นึกว่า hineken โฉมใหม่ ไปหยิบใาลอง 1 ขวดอ่านฉลากก็ไม่ใช่เบียร์นี่หว่าหรือว่าน้ำแร่  ลองดื่มแล้วกัน - -!  โซดานี่หว่า


นั้งเครื่องกลับดูหนังไปพลางๆ หนังจบก็ถึงเหมืองไทยพอดี ออกจากสุวรรณภูมิ 11.30 คิดอยู่ว่าจะลง airport link ที่สถานีไหนดีระหว่าง หัวหมาก กับรามคำแหงแล้วค่อยต่อ taxi กลับ condo ลาดพร้าว 130
อืม  รามคำแหง ก็หารถง่ายหน่อยเคยลงแล้ว ลองหัวหมากแล้วกัน  โชคดีมีคนลง 5-6 คน(มีเพื่อนแล้ว) ที่ไหนได้มีรถมารอรับหมดเลยเหลือเราคนเดียว มี taxi 2 คันเก่าๆ ลองเดินไปถามดูไปป่าว  ^ -^ โชคดีจังลุงไปส่ง นึกว่าจะแย่ซะแล้ว
สรุป เมืองฮ่องกง กับเมืองไทย
ฮ่องกง -> ดูเหมือนคนเขาจะมีวินัยและสามัญสำนึกมากกว่าคนไทย
- เข้าแถวขึ้นรถเมย์ แม้ไม่มีรถผ่านก็รอจนไฟแดงแล้วค่อยข้าม
ฮ่องกง ->บ้านเมืองดูสะอาด ไม่มีการขายของบนทางเท้า
ฮ่องกง ->สายไฟฟ้าไม่มีระโยงระยางให้เห็นมองโล่งไปหมด
ฮ่องกง -> internet free ที่สนามบิน เร็วมากที่สำคัญ Free Free เมืองไทยนี่แข่งขันติดหลายข่ายมากสัญญาณก็ไม่ดีแถมคิดตัง หรือมี password อีก น่าจะมีให้บริการกันบ้างสำหรับนักท่องเที่ยว
ฮ่องกง -> แย่อย่างเดียว เรื่องอาหาร เมืองไทยอาหารดีที่สุดแล้วมีครบทุกรส เที่ยวเมืองไทยดีที่สุด
ฮ่องกง ->ค่าเงิน 3.93 ตอนไป























































Monday, April 08, 2013

Gartner’s Magic Quadrant กับการใช้งานผิดๆ ของคนไทย

Gartner’s Magic Quadrant กับการใช้งานผิดๆ ของคนไทย


Magic Quadrant คืออะไร?

Magic Quadrant คือการแสดงผลการประเมินความสามารถของแต่ละบริษัท IT ในแต่ละสาขา อย่างเช่นตัวอย่างนี้ เป็น Magic Quadrant ของ Network Access Control (NAC) ประจำปี 2009 ซึ่งในกราฟ Magic Quadrant ที่แสดงออกมาเป็นภาพรวมนั้น จะถูกจัดรวมใน Format นี้
ซึ่งกราฟนี้จะแบ่งบริษัทต่างๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม ตามตำแหน่งของแกน X และแกน Y ครับ โดยสรุปอย่างย่นย่อ แกน Y จะแสดงถึง “ความแข็งแกร่งในปัจจุบัน” และแกน X จะแสดงถึง “โอกาสที่จะแข็งแกร่งในอนาคต” ครับ
คนที่แข็งแกร่งทั้งปัจจุบัน และอนาคต จะถูกจัดเป็น Leaders คือเป็นผู้นำตลาดทั้งปัจจุบันและน่าจะเป็นในอนาคต
คนที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน แต่อนาคตยังไม่โดดเด่นนัก จะถูกจัดเป็น Challengers คือผู้ท้าชิงนั่นเอง
คนที่ปัจจุบันยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่อนาคตมีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้นำได้ จะถูกจัดเป็น Visionaries หรือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ครับ
และสุดท้าย ผู้ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่แข็งแกร่งมาก และอนาคตก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำได้น้อย จะถูกจัดเป็น Niche Players ครับ หรือเป็นผู้เล่นในตลาดเฉพาะกลุ่มนั่นเอง

คนไทย กับความเชื่อใน Gartner

คราวนี้จากประสบการณ์ที่ผมเจอมา ลูกค้าบางกลุ่ม อย่างเช่นเอกชน หรือธนาคาร หลายๆ ครั้งกลับเลือกที่จะใช้ Gartner Magic Quadrant เป็นตัวตัดสินในการเลือกผลิตภัณฑ์เลย โดยหลายๆ ครั้งผู้ที่เชื่อก็ยังไม่ได้เข้าใจในวัตถุประสงค์ของ Magic Quadrant มากนัก
บางครั้งผมก็เห็น ToR หรือคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ มีกำหนดไว้ถึงว่า “ต้องอยู่ใน Gartner Magic Quadrant ตำแหน่ง Leaders เท่านั้น”!
จริงๆ โดยส่วนตัวแล้วผมก็เห็นว่า เจ้าของเงินมีสิทธิ์ที่จะเลือกซื้ออะไรตามใจก็ได้ แต่ในอีกมุม ผมก็เสียดายเงินแทนหน่วยงานนั้นๆ ครับ
เพราะจริงๆ แล้ว ในการตัดสินว่าใครจะอยู่ตำแหน่งไหนใน Magic Quadrant นั้น ถ้าลองอ่านเงื่อนไขในการตัดสินผลแล้ว จะพบว่า “ของที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ไม่ได้เป็นไปตามที่ Gartner ตัดสินเสมอไป!”

แล้ว Gartner เค้าตัดสินยังไง?

ถ้าใครอ่านหน้านี้ จะพบครับว่า ใน Criteria กว่า 15 ข้อนั้น มีเพียง 1 ข้อเท่านั้น ที่กล่าวถึงคุณภาพและความสามารถของผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้นจะเป็นเรื่องของ Sales และ Marketing ว่าบริษัทนี้เข้าใจตลาดมากน้อยแค่ไหน มีการทำการตลาดที่ดีแค่ไหน มองถึงอนาคตแค่ไหนเสียมากกว่า
และ Gartner เองก็แนะนำว่า Magic Quadrant นี้ใช้ได้เป็นเกณฑ์หนึ่งเท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์ใดจะเหมาะกับคุณที่สุด ทั้งในแง่ของราคา คุณภาพ และความสามารถเฉพาะทาง อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ปัจจัยอื่นๆ ในองค์กรของคุณเองครับ

แล้วสรุปว่า Gartner น่าเชื่อถือแค่ไหน?

Gartner ก็โอเคครับในแง่ว่า ถ้าจะซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัท ที่อยู่ๆ มันไม่เจ๊งหายจากตลาดไปแน่นอน Gartner ก็เชื่อถือได้ระดับนึง และการที่แต่ละบริษัทจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อนี้ได้ในแต่ละปี อย่างน้อยๆ จะต้องผ่านเกณฑ์พื้นฐานทางด้านยอดขายก่อนครับ อาจจะเป็น 10 ล้านเหรียญ หรือ 20 ล้านเหรียญในปีล่าสุดก็ว่ากันไปครับ
แต่ถ้าจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด การมองหาเฉพาะใน Leaders เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแน่ๆ ครับ เพราะเนื่องจากองค์ประกอบของการจัดลำดับเป็นการตลาด การขายซะมาก ดังนั้นจริงๆ ถ้าใครทำการตลาดเก่งๆ มี Distribution Channel ที่กว้างขวาง ก็จะขายได้เยอะ และมีโอกาสได้เป็น Leaders สูงกว่าบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ดี แต่ทำการตลาดไม่เก่งครับ
นอกจากนี้ Gartner เอง ก็ยังเคยถูกฟ้องร้อง, ร้องเรียน รวมถึงวิจารณ์ต่างๆ นานา ทั้งเนื่องจากความผิดพลาดของข้อมูล, Vendor ที่หายไป แต่ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นปัญหาที่สุด คือการที่รายได้ของ Gartner มาจากบริษัทที่จ่ายเงินให้ Gartner ทำการสำรวจเนี่ยแหละครับ เป็นปัจจัยที่น่าจะส่งผลต่อตำแหน่งของบริษัทนั้นๆ ใน Magic Quadrant โดยตรง ไม่มากก็น้อยครับ
รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่ม Opensource เอง อย่าง WordPress ก็เคยไม่ได้รับการจัดอันดับเช่นกัน ซึ่งผมว่า WordPress น่าจะถูกจัดได้ว่าเป็น 1 ใน Enterprise Solution ได้เช่นกันนะครับ ใครที่เคยเอามาทำนู่นทำนี่คงจะรู้ดี
และในมุมมองส่วนตัวของผม ถ้าคุณเป็นนักลงทุนในตลาด IT ที่เล่นหุ้นเมืองนอกเยอะๆ การมาดู Gartner Magic Quadrant ในแต่ละปี ช่วยประกอบการตัดสินใจ ก็จะเป็นอีกไอเดียที่ดีสำหรับคุณครับ

แล้วควรจะทำยังไง?

ผมคิดว่าสุดท้าย Gartner เป็นได้เพียงแค่ตัวช่วยในการให้เราได้รู้จักชื่อ Vendor ในแต่ละตลาดครับ ว่ามีใครอยู่บ้าง แต่การจะเลือกว่าจะซื้อของใคร ก็ต้องใช้หลักการสูงสุดคืนสู่สามัญครับ คือเรียก Vendor มา Demo, PoC กันไปเป็นรายๆ
เพราะเอาเข้าจริง ของจะดีหรือของจะไม่ดี ก็อยู่ที่ตัวแทนในประเทศไทยด้วยครับ ว่ามีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน
ที่มา http://bit.aruj.org/2010/11/02/gartners-magic-quadrant-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%86-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87/


BIT.ARUJ.ORG


Boot Notebook Dell Vostro131 ไม่ขึ้น

ปิดเครื่องแล้วเข้า office เปิดอีกครั้ง Boot ไม่ขึ้น
ขึ้นว่า Boot error ใช้ hiren boot ดู ดันจะให้ format ซะงั้น หา partition ไม่เจอ งานเข้าเลย
ข้อมูลเพียบ โปรแกรมอีก นั่นไม่เท่าไหร่ ห่วงหนังนี่ซิ หายากด้วย
เครียดอยู่พักใหญ่ ใช้ ทุก software ทุกอย่างที่รู้จัก ผ่านไป 3 ชั่วโมง
ได้ program smart partition recovery ช่วย
Click ไป click มา ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
พระเจ้า เขา ช่วยได้ drive C มาแร้ว .....
ขอบคุณ program smart partition recovery



Harddisk Ext WD Element


ถอย Harddisk มาใหม่
ความเร็วที่ได้ USB 3.0

ของเค้าแรงจริง


ทำไมถึงต้อง USB 3.0:
ความเร็ว ? ตามหลักแล้ว USB 3.0 นั้นจะมีความเร็วสูงกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่าโดยจะมีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุดถึง 4.8 Gbps ซึ่งสูงกว่า USB 2.0 ที่มีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุด 480 Mbps
การเชื่อมต่อของช่องที่เพิ่มขึ้นภายในของตัวสาย ? ซึ่งจะทำให้ USB 3.0 นั้นสามารถทำการอ่านข้อมูลได้ไปพร้อมๆ กับเขียนข้อมูลในคราวเดียวกัน ซึ่งต่างกับ USB 2.0 ที่ต้องทำการอ่านหรือเขียนได้ทีละอย่าง
ประหยัดพลังงานมากกว่า ? USB 3.0 นั้นได้ลดพลังงานการใช้งานอุปกรณ์น้อยลงจาก 4.4 V เหลือ 4 V แต่เพิ่มความเร็วในการส่งพลังงานให้เยอะขึ้นจาก 500 mA เป็น 900 mA ซึ่งจะทำให้การชาร์ตอุปกรณ์ที่สนับสนุน USB 3.0 ที่เสียบผ่านสาย USB 3.0 ชาร์ตเร็วขึ้นด้วย
มี Backward Compatible ? หรือการสนับสนุนอุปกรณ์รุ่นก่อนเช่น USB 2.0 ซึ่งยังสามารถทำการเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้แล้วยังเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้อีกด้วยเช่นกัน โดยจะมีความเร็วแค่เท่าของ USB 2.0






Monday, February 04, 2013

APAC Sales Meeting 2013 (Channel Partners)

APAC Sales Meeting 2013 (Channel Partners) in Bangkok, January 31 – February 1, Thailand.
รวม Partner ต่างชาติ ยุโรป เอเชีย ร่วม 200 กว่าคน

พักที่ MILLENNIUM HILTON BANGKOK
123 Charoennakorn Road  I  Klongsan  I Bangkok 10600   Thailand
พัก ชั้น 16  ติดฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
 อาหารส่วนมากมีแต่กุ้ง

จับรางวัลได้ 2 รางวัล คือ
รางวัลที่ 2 เครื่องเล่น X-box 360
รางวัลที่ 1 เครื่องเล่น Ipad Mini 32 G สีดำ
โครตโชคดีเลย (ต่างชาติมองกันตาร้อนพร่าว)

Monday, January 21, 2013

Trip ลำพูน-เชียงใหม่-นครสรรค์

Trip ลำพูน-เชียงใหม่-นครสรรค์ วันที่ 12 มกราคม 2556 - 15 มกราคม 2556
ผู้ร่วมเดินทางมี ผู้ใหญ่ 13 คน ,เด็ก 4 คน
รถยนต์ 5 คัน ,อุปกรณ์สื่อสาร 5 เครื่อง

 การเดินทางแบ่งออกเป็น 2 สายคือมาจากระยอง 4 คัน และ กรุงเทพ 1 คัน จัดเจอปั้ม ปตท ตรงอยุธยา
เพื่อตกลงเส้นทางการเดินทางและซื้อเสบียงตุนไว้ โดยเฉพาะคนขับ
ออกเดินทางโดยประมาณเที่ยงคืน

ประมาณตี 3 เริ่มง่วงต้องกระตุ้นพูดคุยกันทางวิทยุกันตลอด ระหว่างทางถนนขรุขระมากตรงแถวตากมีการทำถนน ถึงเขตลำปาง ตี 5.30 แวะปั้มเนื่องจากบางคันเริ่มไม่ไหวต้องขอนอนพักซักแป๊ป (ตอนลงจากรถ ลำปางหนาวมาก เป็นเรื่องจริง ^-^ ) ที่เหลือไม่นอนก็หาอะไรกินกันไป ทั้งมาม่า ถั่ว กาแฟ ไก่ ก๋วยเตี๋ยว
เกือบ 7 โมงเดินทางต่อไปลำพูนแวะวัดพระธาตุหริภุณชัย
หลังจากจอดรถเจอนกพราบถูกหมาใจดำทำร้าย

 หลานๆ และแฟนสาว

จากนั้นเดินทางไปต่อ น้ำพุร้อนสันกำแพง ระหว่างทางแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด
อิ่มแล้วเดินทางต่อไปยังน้ำพุร้อนสันกำแพง ซื้อบัตรเข้า คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
แล้วก็ไข่ มีทั้งไข่ไก่ ไข่นกกะทา แม่ค้าบอกเอาไปต้มที่น้ำพุ เข่งละ 20 บาท
ตอนเดินเข้ามาจะมีทางน้ำไหลเห็นมีเด็กเล่นน้ำ แล้วก็มีคนเอาขาจุ่มลงไปเหมือนแช่ขาให้ปลาตอดเลย
คิดในใจถ้านั่งตรงนี้ น้ำคงผ่านขามาแล้วนับไม่ถ้วน เลยเดินไปต้นสายดีกว่า ก็เจอป้ายน้ำพุร้อนสันกำแพง
แล้วก็บ่อน้ำที่ใช้ต้มไข่ โดยมีขอเกี่ยว


13.30 เดินทางสู่ตัวเชียงใหม่ มากี่ทีก็ยังหลงเหมือนเดิมตรงรอบคูเมืองนี่แหละ
ขับตามกันมาอยู่ดีๆทั้งรถคันหน้ารถคันหลังช่วยกันมองก็แล้ว วิทยุคุยกันก็แล้ว ก็ยังพลัดลงกันมี 3 คันที่ไปถึงที่พัก เอาหละซิ รถหาย 2 คัน คุยวิทยุสัญญาณก็ไม่ถึง ลองโทรศัพท์ดู ถามว่า
อยู่ไหน --> มีเสียงตอบกลับมา "ไม่รู้"
มีอะไรรอบๆบ้าง --> มีเสียงตอบกลับมา "รถยนต์เยอะมาก แล้วก็ตึกด้วย"
ลองเปิดมือถือแล้ว Share location ซิ (พอดีตอนกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดนั่งเล่นกัน)
ok เห็นแล้ว กลับมาถูกไหม --> มีเสียงตอบกลับมา "จะลองดู"
มองดูในแผนที่รู้สึกว่ายิ่งขับออกไปไกลทุกที
เอางี้ หยุดอยู่ตรงนั้นเด่วไปรับ  (ขนทั้ง แผนที่สมุด ,Mini Ipad  และ  S3 เพื่อนำทางไป)
ขับไปตามซักพักก็เจอ อ้าวแล้วอีกคันล่ะ --> มีเสียงตอบกลับมา "ไม่รู้"
โทรไปหา ว่ามีอะไรบ้าง คราวนี้ใช้ share location ไม่ได้เพราะไม่ได้สอน คราวนี้เปิดแผนที่แล้วบอกทางให้ขับกลับมาเจอ เล่นเอาเหนื่อยเลย สุดท้ายก็ถึงที่พักครบ 5 คัน
พักกันตามอัธยาศัย ช่วงเย็นออกไปหาข้าวกินที่ตลาด

เดินเล่นถนนคนเดินวัวลาย นั่งสองแถวไป-กลับ คนล่ะ 40 บาท เดินจนเหนื่อยและร้อน มานั่งกินเบียร์หน้าโรงแรมดีกว่า ก่อนนอน เพราะต้องตื่นเช้า
เช้าวันใหม่ ตี 5 เดินทางสู่ม่อนแจ่ม อากาศเย็นมาก เหมารถขึ้นไปหม่อนล่อง 400 บาท ถ่ายรูปกันตามสบาย
ขาลงแวะซื้อสตอเบอรี่ กิโลละ 300 บาท จัดมา 1 กิโลกรัม  ลงเขามาได้ซักพักเจอป้ายสตอเบอรี่ใหญ่ที่สุด พันธ์หวาน 80 คิดในใจ จะใหญ่กว่านี้อีกเหรอ เลยลงไปดู ปรากฎว่าลูกเล็กว่าที่ซื้อจากข้างบน และก็สวยสู้ไม่ได้ แต่ก็จัดมาอีก 2 กิโลกรัม
 เที่ยงเดินทางถึงพระธาตุดอยสุเทพแยกย้ายกันถ่ายรูป ใครเดินไหวก็เดิน เดินไม่ไหวก็ขึ้นรถรางไป
เรายังหนุ่มยังแน่นก็ยังเดินไหวจะแค่ไหนเชียว เดินมาครึ่งทาง เริ่มเหนื่อย ขาแข็งไม่มีแรงแต่ก็ถึงข้างบน
13.30 เดินทางต่อไป"ขุนช่างเคี่ยน" เดินทางลำบากเนื่องจากทางแคบเป็นอะไรที่สุดยอดมาก นึกถึงเส้นทางไปยังปาย แต่นี่รถสวนกันไม่ได้ต้องจอดไปผ่านไปก่อนแต่ก็จอดได้เป็นบางช่วงเท่านั้น เพราะข้างทางเป็นเหว ใช้แตรเป็นสัญญาณเวลาทางโค้ง มีประโยชน์ตอนนี้แหละใช้คุ้มหน่อย รถคันเราเป็นเกียร์กระปุกแถมพวงมาลัยพาวเยอร์คันเดียวด้วย เกร็งขาแข็งเลย ตอนเหยียบคลั๊สเวลาขึ้นเดินแล้วคันหน้าเบรคคันหน้าจี้ตูดนี่แหละ (สุดโคร่ยมาก ผู้โดยสายตื่นเต้นไปด้วยลุ้นตลอดเส้นทาง)
 15.30 ถึงแล้ว  บ้านม้งขุนช่างเคียน(แต่ก่อนถึงก็หลงทางเลยไปหน่อย ) ต้นพญาเสือโคร่ง มีบานไม่กี่ต้นเอง ถามทางชาวบ้านได้ความว่าหนาวช้าดอกเลยบานช้า มี 2-3 ต้นมีคนรุมล้อมถ่ายตั้งแต่รากยันปลายใบเลยก็มันมีน้อยนี่ - -! คืนนี้อากาศหนาว 10 องศา เดินๆน้ำมูกไหลเอง
 ก่อนนอนอุปกรณ์ทุกอย่างสวมให้หมด ถุงเท้า ผ้าพันคอเอามาพันหู พันหน้า มีประโยชน์มาก เกงยีน เสื้อแขนยาวบวกเสื้อหนาวทับ
 ต้มน้ำกินกาแฟและต้มไข่ แต่ต้องล้างหม้อคืนลุงเนื่องจากตอนยืมมาก้นหม้อมันขาวแต่หลังจากผ่านสมรภูมิมามากมันดำติดก้นเลย

11.30 เคลื่อนขบวนวงมาที่เชียงใหม่ เป้าหมายคือตลาดวโรรส ระหว่างทางก็และถ่ายรูป วิว ตอนขาลงดอยสุเทพ
เปิด google map เรียบร้อย Let's Go มาถึง 4 แยกในตัวเมือง ตลาดอยู่ข้างหน้าไม่ถึง 100 เมตร แผนที่ให้เลี้ยวขวา เลี๊ยวปั้ม งง เลย ทำไมที่นี่ขับ เลนขวากัน ดูใน แผนที่ ยิ่งออกจากตลาดเรื่อยๆ เอาล่ะ ผิดอีกแล้ว เลยวนรถกลับมาใหม่ ที่นี้มีรถเลี้ยวเข้าซอยแถว 4 แยกเดิมเลยตามเข้าไป เป็นทางแคบๆรถสวนไม่ได้ เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว จะถอยก็ไม่ได้มีสมาชิกตามมาอีก 4 คัน ต้องเดินหน้าอย่างเดียว คนเดินตัดหน้าไปมา พลางก็บ่น "เมิงจะเข้ามากันทำไมเนี่ย" เข้าใจความรู้สึกเหมือนกัน คิดดูก็ขับรถผ่าเข้ากลางตลาดนึกภาพเหมือนขับรถเข้าคลองถมอ่ะ  มีเสียงแว่วๆ ในวิทยุว่าออกกันเถอะ ก็เลยต้องหาทางออกถนนใหญ่ สุดท้ายออกมาจนได้ เฮ้อ ตลาดวโรรสจะไปซื้อของฝากแต๊ๆ

13.45 มุ่งหน้าสู่นครสวรรค์ หลังจากเสียเวลากับตลาด
21:15 ถึงที่พักสบายดี รีสอร์ท ไม่พ้นหลงอีกเหมือนเดิม พักผ่อนกันตามสบาย นั่งกินเบียร์ถึง ตี 2

15-Jan-2013
7.30 ทานอาหารเช้า กาแฟ+ไข่ดาว
9.30 ออกเดินทางไปบึงบอระเพ็ด พาเด็กๆไปเที่ยว

เหมือนมาเที่ยวทะเลเลย ต่างที่น้ำไม่เค็มและทรายไม่ขาว
มีสัตว์น้ำเค็มด้วยคิดว่าจะมีแต่ปลาน้ำจืด
14.15 แยกย้ายกลับ บ้านใครบ้านมัน
ถึง กรุงเทพ ตอน 16.00 รวมระยะทาง 1,567 กิโลเมตร ค่าน้ำมัน 2,000 บาท(Gas 1500+น้ำมัน 500)